ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีแม่ลูกคู่หนึ่ง ต้องขอทานและเก็บขยะเพื่อเลี้ยงชีพ ผู้เป็นแม่เป็นคนใบ้ แต่ลูกสาวของเธอนั้นฉลาดมาก ทั้งสองคนต้องอาศัยอยู่ในถ้ำอิฐที่ถูกทิ้งร้าง
วันหนึ่ง เพื่อนเล่นของลูกสาวเธอบอกกับลูกสาวว่า เขาต้องไปเข้าโรงเรียนแล้ว จะไม่ได้มาเล่นกับเธออีกและยังถามกับลูกสาวเธอว่า ทำไมไม่ไปเข้าโรงเรียนล่ะ ดังนั้นลูกสาวเธอจึงรีบวิ่งกลับไปที่ถ้ำเพื่อขอร้องกับเธอให้พาไปเข้าโรงเรียน
วันต่อมา เธอก็เลยพาลูกสาวของเธอไปที่โรงเรียน แต่เป็นเพราะพวกเธอไม่มีบ้านและไม่ได้ขึ้นทะเบียน ทางโรงเรียนจึงไม่สามารถรับลูกสาวของเธอเข้าเรียนได้ เธอจึงต้องคุกเข่าลงบนพื้นและร้องไห้เพื่อขอร้องกับคุณครู แต่คุณครูก็ยังไม่กล้ารับลูกสาวของเธอ ในที่สุดแม่ลูกคู่นี้ก็ต้องกลับไปด้วยความเสียใจ
วันหนึ่ง เมื่อแม่ลูกคู่นี้ไปหาเก็บขยะและได้เดินผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่ง ลูกสาวของเธอหยุดเดินและยืนอยู่หน้าประตูอย่างเงียบ ๆ เพื่อฟังเสียงไวโอลินที่ไพเราะของบ้านนี้....
ขณะที่ลูกสาวกำลังยืนฟังอยู่หน้าประตูอย่างตั้งใจนั้น จู่ๆก็มีหมาใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งออกมาจะไปกัดลูกสาวของเธอ เมื่อคุณแม่ได้เห็น เธอรีบโยนของที่อยู่ในมือนั้นทิ้งและวิ่งไปยืนที่ด้านหน้าลูกสาว และห้ามหมาดุตัวนั้นด้วยแขนของตัวเองแขนของเธอโดนหมากัดจนเลือดออกเป็นอย่างมาก เจ้าของของบ้านนี้ได้ยินเสียงเลยรีบวิ่งออกมาช่วยและพาแม่ลูกคู่นี้เข้าไปรักษาแผลในบ้าน
และพวกเธอจึงได้รู้ว่า เจ้าของบ้านหลังนี้เป็นคุณครูสอนหนังสือในโรงเรียนศิลปะของตัวเมือง คุณครูคนนี้ถามเด็กหญิงว่า หนูอายุเท่าไหร่ ชื่ออะไร เด็กหญิงคนนี้ตอบว่าไม่รู้ เพราะว่าไม่เคยได้ยินแม่ของหนูพูด คุณครูคนนี้เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นครูจะตั้งชื่อให้นะ ลูกสาวครูชื่อว่าเหมยเหม่ย หนูก็ชื่อลิลี่แล้วกัน"
คุณครูได้พยายามอธิบายให้กับแม่ของเด็กหญิงทราบว่า อยากจะให้ลูกสาวของเธอมาเรียนไวโอลินกับเธอ เมื่อแม่คนนี้เข้าใจความหมายของคุณครู เธอดีใจจนน้ำตาไหลพร้อมคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณกับคุณครู
หลังจากนั้นไม่นาน แม่ของเด็กหญิงได้นำเงิน3,000หยวน มาให้คุณครูโดยที่เธอเก็บขยะไปขายและสะสมเงินในกระเป๋าใบใหญ่มาเรื่อยๆ เพื่อเอามาเป็นค่าเทอมให้กับลูกสาว เมื่อคุณครูเห็นแม่ของเด็กหญิงน้ำตาไหล คุณครูก็ซึ้งจนน้ำไหลเหมือนกัน แต่คุณครูไม่ได้เอาเงินของพวกเธอ แต่เธอได้นำเงินก้อนนั้นไปช่วยขึ้นทะเบียนให้แม่ลูกคู่นี้ เพื่อให้ลิลี่สามารถเข้าโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นได้
หลังจากนั้น 1ปี ลิลี่ได้เข้าร่วมงานประกวดศิลปะดนตรีของเด็กที่ทางเขตจัดขึ้น และได้รับรางวัลที่หนึ่งในการเล่นเดี่ยว และได้รับเสียงปรบมืออย่างดังจากท่านผู้ชมทุกคน และในตอนนั้นก็มีผู้หญิงที่ใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งคนหนึ่งกำลังยืนมองอยู่นอกโรงละคร และนั่นก็คือคุณแม่ของลิลี่
เวลาต่อมา ลิลี่ยิ่งขยันฝึกไวโอลินมากขึ้นทุกวัน และได้รับรางวัลชนะเลิศหลายครั้งในการประกวดต่างๆ ภายในถ้ำอิฐที่พวกเธออาศัยอยู่ มีรางวัลติดเต็มผนังและนอกจากนี้แล้ว ยังมีนักไวโอลินคนหนึ่งชื่นชอบในความสามารถของลิลี่มากและอยากจะพาลิลี่ไปเรียนในเมืองที่เจริญ
คุณแม่ของลิลี่ได้ชี้ไปยังท้องฟ้าแล้วตบไหล่ของเธอ เพื่อบอกกับลูกสาวว่า:"ลูกตั้งใจไปเรียนเลย แม่สนับสนุนหนูตลอด"
และหลังจากนั้นนอกเหนือจากที่ลิลี่ได้เรียนไวโอลินในเมืองใหญ่แล้ว ลิลี่ยังได้กลายเป็นครูสอนพิเศษที่มีรายได้ ลิลี่ได้รับคุณแม่มาอยู่ในเมืองด้วยกัน แต่ไม่กี่วันคุณแม่ก็ตัดสินใจที่จะกลับไปยังถ้ำของพวกเธอ เพราะว่าเธอไม่ชิน ก่อนที่จะไป แม่ของเธอชี้ไปทางลิลี่และพยายามใช้ภาษามือเพื่อบอกกับลิลี่ว่า:"ไม่ต้องคิดถึงแม่นะ ตั้งใจเรียนไวโอลินให้ดีๆ แค่ลูกมีความสำเร็จแม่ก็ดีใจแล้ว"
หลายปีต่อมา ลิลี่ได้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งใหญ่และได้ชนะด้วย เธอนึกได้ว่า เกือบครึ่งปีแล้วที่เธอไม่ได้กลับไปเยี่ยมแม่ เธอจะรีบกลับไปหาแม่เพื่อบอกข่าวดีนี้ให้กับแม่
แต่เมื่อเธอกลับไปถึงถ้ำนั้น เธอจึงได้รู้ว่าแม่ของเธอได้จากไปแล้ว เธอรู้สึกเสียใจและคิดถึงแม่ของเธอมากๆ
ในสิ่งของที่แม่เหลือไว้ให้เธอ เธอได้พบเจอกระเป๋าใบเก่าของแม่ที่เคยใช้เป็นประจำ และได้พบว่ามีภาพถ่ายและจดหมายซองหนึ่งอยู่ในนั้นด้วย หลังจากที่เธอได้อ่านจดหมายนั้น ลิลี่จึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆของแม่ แม่ได้เก็บเธอมาจาก
และตอนนี้ ลิลี่ทำได้เพียงตะโกนเรียก "แม่" พร้อมกับร้องไห้....
0 comments:
Post a Comment